วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Eclipse

Eclipse คืออะไร


Eclipse เป็นเครื่องมือที่สนับสนุนสภาพแวดล้อมอย่างพร้อมสรรพสำหรับใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะสำหรับภาษา Java และเนื่องจาก Eclipse เป็นซอฟต์แวร์ open source ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้โดยนักพัฒนาเอง ทำให้ความก้าวหน้าในการพัฒนาของ Eclipse เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

Eclipse มีองค์ประกอบหลักที่เรียกว่า Eclipse Platform ซึ่งให้บริการพื้นฐานหลักสำหรับรวบรวมเครื่องมือต่างๆจากภายนอกให้สามารถเข้ามาทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมเดียวกัน และมีองค์ประกอบที่เรียกว่า Plug-in Development Environment (PDE) ซึ่งใช้ในการเพิ่มความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์มากขึ้น เครื่องมือภายนอกจะถูกพัฒนาในรูปแบบที่เรียกว่า Eclipse plug-ins ดังนั้นหากต้องการให้ Eclipse ทำงานใดเพิ่มเติม ก็เพียงแต่พัฒนา Plug-in สำหรับงานนั้นขึ้นมา และนำ Plug-in นั้นมาติดตั้งเพิ่มเติมให้กับ Eclipse ที่มีอยู่เท่านั้น Eclipse Plug-in ที่มีมาพร้อมกัน Eclipse เมื่อเรา download มาครั้งแรกก็คือองค์ประกอบที่เรียกว่า Java Development Toolkit (JDT) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการเขียนและ debug โปรแกรมภาษา Java

              ในตอนนี้เราจะมาดูการใช้ Eclipse ในส่วนของ JDT ซึ่งเป็นส่วนหลักในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย Java สำหรับส่วนที่เป็น Plug-in นั้นจะพบในบทต่อๆไปเมื่อต้องการเพิ่มความสามารถของ Eclipse สำหรับงานต่างๆ

คุณสมบัติที่น่าสนใจของ Eclipse
 สนับสนุนของโครงสร้างโปรแกรมที่หลากหลาย
 เป็นโปรแกรมที่ใช้ฟรี
-  เป็นโปรแกรมที่ทำงานกับไฟล์ได้หลายชนิด (เช่น HTML,C,JSP,EJB,XML และ GIF)

ข้อดีและข้อเสียของ Eclipse

ข้อดี

        - สถาปัตยกรรมของ Eclipse ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายต่อการสร้าง Plug-in ทำให้มี Plug-in หลายๆแบบให้เลือกใช้มากมาย
        - มี Class Outline Tree ในการแก้ไขโปรแกรมวาจาถ้า Field กับMethod ที่อยู่ในระดับเดียวกัน Eclipse Platform จะแยกความแตกต่างโดยใช้ไอคอน
        - มี Template ที่ยืดหยุ่นสามารถแก้ไขได้ ทำให้ง่ายต่อการกำหนด Header ของไฟล์จาวา
       -สนับสนุน J2SDK หลายเวอร์ชัน
       - มีเครื่องมือสำหรับสร้าง GUI ด้วย

ข้อเสีย

- การเขียนโปรแกรมต้องมีการสร้างโปรเจคก่อนทุกครั้ง
- ต้องใช้หน่วยความจำของเครื่อง (RAM) ตั้งแต่ 512MB ขึ้นไป
- Eclipse ยางสำหรับการเรียนรู้ของผู้ใช้มาก่อน มีทางเลือกในการทำงานมาก รวมทั้งหลักการจัดการ Perspective ที่เป็นสิ่งใหม่
- Eclipse ยังขาดเครื่องมือมาตรฐานในการสร้าง J2EE Applications

       เริ่มการใช้งาน Eclipse         

เมื่อกดเข้าโปรแกรมแล้วจะมีหน้าต่างขึ้นมาถาม workspace ที่จะให้ Eclipse ใช้พื้นที่ในการทำงาน เหมือนเป็นการ Set default พื้นที่ในการทำงาน เราสามารถกำหนดworkspace เองได้แล้วแต่ผู้ใช้งานครับ


หน้าจอหลักของ Eclipse จะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ๆดังนี้ครับ


1) เป็นส่วนของแถบเมนู และ Tool ต่างๆ      
2) เป็นส่วนที่แสดงและจัดการ Project ต่างๆ เหมือนเป็นการ Browse ดู Project หรือ File ต่างๆ
3) เป็นส่วนที่ใช้ในการเขียน Code
4) เป็นส่วนที่แสดงถึงโครงสร้างหรือส่วนประกอบของ Class เช่น attribute method และด้านบนสุดเป็นส่วนที่ใช้จัดการกับ plugIn ต่างๆ
5) เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงผลการทำงานต่าง เมื่อทำการ Run โปรแกรม และยังมีส่วนของการ debug โปรแกรมด้วย
เมื่อรู้จักหน้าตาหรือ GUI แบบคร่าวๆของ Eclipse กันแล้วต่อไปก็มาลองเขียนโปรแกรมง่ายกันครับ โดยเริ่มจากการ New Project ใหม่ขึ้นมา โดยการเลือกที่ File >> New >> Java Project



จากนั้นจะมีหน้าต่างให้กำหนดค่ารายละเอียดต่างๆของ Project  โดยจะบังคับให้ใส่ Project Name ในที่นี้จะตั้งชื่อ Project ว่าEclipseTutorial เมื่อกำหนดค่ารายละเอียดต่างๆแล้ว กด Finish



เราจะได้ Project ที่ชื่อว่าEclipseTutorial ขึ้นมา แต่เป็น Project ที่ว่างเปล่า เพราะฉะนั้นเราจะทำการสร้างClass ที่ชื่อ MainClass ขึ้นมา โดยการคลิกขวาที่ Projectแล้วเลือก New >> Classในการ New Class ขึ้นมาก็จะสามารถตั้งรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับ Class ที่จะสร้างนั้นได้ เมื่อกำหนดค่าต่างๆเรียบร้อยแล้วให้กด Finish



เราจะได้ MainClass.class ขึ้นมา ต่อไปเราจะลองสร้าง class TestObj ขึ้นมา เพื่อลองใช้ Funtion บางอย่างของ Eclipse ครับ ภายใน class TestObj จะมี code ดังนี้ครับ
public class TestObj {
      private String firstName;
      private String lastName;
      public void showName() {
            System.out.println("THIS IS METHOD showName()");
            System.out.println("My name is "+firstName+" "+lastName);
      }
}


Tip&Trick

ในการ code คำสั่ง System.out.println(); นั้นสามารถใช้วิธีลัดโดยการพิมพ์ว่าsysout แล้วกด CTRL+SpaceBar ตัว Eclipse จะสร้างคำสั่งSystem.out.println(); ให้ทันที

จะเห็นได้ว่า Attribute ใน Class TestObj เป็น private ฉะนั้นก็จะต้องมี Getter and Setter เราสามารถที่จะสั่งให้ Eclipse สร้าง Getter and Setter จากAttribute ที่มีอยู่ได้โดยการคลิกขวาที่หน้าจอที่ใช้เขียน code แล้วเลือก Source >> Generate Getters and Setters..


หน้าต่างสำหรับการ Generate Getters and Setters จะขึ้นมา ให้เราทำการเลือกว่าจะสร้าง Getters and Setters ให้กับ Attribute ใดบ้าง และยังสามารถปรับรายละเอียดต่างๆได้เล็กน้อย เมื่อเลือกเสร็จเรียบร้อยให้กด OK



เราจะได้ code ของ class TestObj ดังนี้
public class TestObj {
      private String firstName;
      private String lastName;
      public void showName() {
            System.out.println("THIS IS METHOD showName()");
            System.out.println("My name is "+firstName+" "+lastName);
      }
      public String getFirstName() {
            return firstName;
      }
      public void setFirstName(String firstName) {
            this.firstName = firstName;
      }
      public String getLastName() {
            return lastName;
      }
      public void setLastName(String lastName) {
            this.lastName = lastName;
      }
}


นอกจากการ Generate Getters and Setters แล้ว เราสามารถคลิกขวาเพื่อดูFunction อื่นๆที่ Eclipse สามารถช่วยจัดการให้การทำงานของเราง่ายขึ้นครับ
เมื่อได้ class TestObj แล้ว ต่อไปเราก็ทำการแก้ไข code ของ MainClass ให้เป็นดังนี้
public class MainClass {
      public static void main(String[] args) {
            TestObj temp = new TestObj();
            temp.setFirstName("Itthi");
            temp.setLastName("Kruenarongkul");
            temp.showName();
            temp.setFirstName("Monthinee");
            temp.setLastName("Buntawee");
            temp.showName();


Tip&Trick

ในการ code คำสั่งต่างๆ เราสามารถกด CTRL+SpaceBar เพื่อเรียกดูได้ว่าสามารถใช้method หรือเรียก Attribute ใดมาใช้ได้บ้าง หรือบางที Eclipse ก็จะขึ้นส่วนนี้มาให้เอง

เมื่อทำการแก้ไข Code เสร็จเรียบร้อย เราจะลองทำการ Run โปรแกรมนี้ดู โดยการกดปุ่มสีเขียวที่อยู่ด้านล่างแถบเมนู

จะเห็นได้ว่า จะมีการเตือนให้ทำการ Save ก่อนทุกครั้งที่จะทำการ Run โปรแกรม หากต้องการ Save และทำการ Run ต่อไปให้กด OK แต่ถ้ากด Cancel จะไม่ Save และไม่ทำการ Run โปรแกรม
เมื่อ Run โปรแกรมแล้วให้ดูส่วนด้านล่างที่จะแสดงผลในการ Run โปรแกรมนั้น


นี่ก็เป็นวิธีการใช้งานเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ 



อ้างอิง
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น